https://www.facebook.com/share/15dx7quL9W/

จากโพสต์ด้านบนเรามาลองวิเคราะห์กันดูนะครัย
โดยเริ่มต้นจากรูปนี้เราได้ข้อมูลอะไรบ้าง และวิเคราะห์ข้อมูลอะไรได้บ้าง
1. Median Holder Rank: อันดับของผู้ถือครองโทเคนโดยเทียบตามปริมาณที่ถือ ยิ่งตัวเลขต่ำ แปลว่าโทเคนถูกกระจายให้กับผู้ถือรายย่อยได้ดีกว่า
2. HHI (Herfindahl-Hirschman Index): ใช้บอกความกระจุกตัวของโทเคนในผู้ถือครอง ยิ่งตัวเลขต่ำ (ใกล้ 0) แสดงว่าโทเคนกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งสูง (ใกล้ 10,000) แสดงว่ามีผู้ถือรายใหญ่ควบคุมสัดส่วนจำนวนมาก
3. HolderScan Distribution Score: คะแนนความกระจายตัวของโทเคน (1 = กระจายไม่ดี, 100 = กระจายตัวดีเยี่ยม)
4. Top 100 Holders Own: เปอร์เซ็นต์โทเคนที่ถือครองโดยผู้ถือรายใหญ่ 100 อันดับแรก (ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะกระจายตัวมากขึ้น)
5. Top 10 Clusters Own: เปอร์เซ็นต์โทเคนที่ถือครองโดยกลุ่ม 10 อันดับแรกที่มีการทำธุรกรรมต่อเนื่อง (คล้ายกลุ่มผู้ถือครองรายใหญ่)
6. Top 25 Clusters Own: เปอร์เซ็นต์โทเคนที่ถือครองโดยกลุ่ม 25 อันดับแรกที่มีการทำธุรกรรมต่อเนื่อง
7. $1K+ Holders: จำนวนกระเป๋าที่ถือโทเคนมูลค่ามากกว่า $1,000
8. % 1K+ Holders: เปอร์เซ็นต์กระเป๋าที่ถือโทเคนมูลค่ามากกว่า $1,000 (เทียบกับจำนวนกระเป๋าทั้งหมด)
9. 1st Week New Wallets: เปอร์เซ็นต์การซื้อขายในสัปดาห์แรกที่เกิดจากกระเป๋าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นใช้งาน DEX (Decentralized Exchange) ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะกระเป๋าใหม่ที่มีการซื้อขายสูงอาจแสดงถึงการกระจายตัวที่ถูกควบคุม
สังเกตจากสี:
สีเขียว: แสดงถึงค่าที่ดีกว่า (เช่น กระจายตัวดีขึ้น)
สีแดง: แสดงถึงค่าที่แย่กว่า (เช่น มีการกระจุกตัวสูง)
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ:
SPX6900: มีค่าความกระจายตัวที่ดีที่สุดในกลุ่ม (HolderScan Distribution Score = 48.2) และกระจายโทเคนได้ดีในกลุ่ม Top 100 Holders (40.4%)
MOODEG: มีการกระจายตัวแย่ที่สุด (HolderScan Distribution Score = 33.5) และ Top 100 Holders ถือครองโทเคนเกินครึ่ง (65.7%)
นำข้อมูลที่ได้จากรูปมาลองจัดพอร์ตกันครับ อาจจะไม่ตรงกับเพื่อนๆเท่าไหร่นะครับ ลองมาพูดคุยกันได้
.
จากข้อมูลข้างต้นเอามาวิเคราะห์ได้ว่า
1. การกระจายตัวของโทเคน
โปรเจกต์ที่มีการกระจายตัวของโทเคนดี (เช่น SPX6900, APU, GIGA) แสดงถึงความเป็นธรรมและลดโอกาสที่ผู้ถือรายใหญ่จะควบคุมราคาหรือเกิดความผันผวนสูง
โปรเจกต์ที่มีการกระจุกตัวสูง (เช่น MOODEG, MEW, a16z) มีความเสี่ยงที่ผู้ถือรายใหญ่จะเทขายโทเคน ส่งผลให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว
ข้อเสนอแนะ : ควรเลือกลงทุนในโปรเจกต์ที่ HolderScan Distribution Score สูงกว่า 40 และ Top 100 Holders Own ต่ำกว่า 50% เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกควบคุมราคา
—
2. จำนวนกระเป๋าที่ถือโทเคนมูลค่าสูง ($1K+ Holders)
โปรเจกต์ที่มีจำนวนกระเป๋าที่ถือมูลค่าสูงมาก เช่น SPX6900, GIGA, MINI สะท้อนถึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนรายย่อยและรายใหญ่
หากเปอร์เซ็นต์ของกระเป๋ามูลค่าสูง (% 1K+ Holders) ต่ำ อาจแปลว่ายังไม่มีความสนใจจากนักลงทุนรายใหญ่เพียงพอ
ข้อเสนอแนะ : ลงทุนในโปรเจกต์ที่มี % 1K+ Holders สูงกว่า 15% เช่น SPX6900, MINI, SIGMA
—
3. ความเสี่ยงจากกลุ่มผู้ถือโทเคน (Clusters)
การกระจุกตัวใน Top 10 และ Top 25 Clusters ควรต่ำกว่า 50% เช่น APU (Top 10 Clusters Own = 17.1%), GIGA (20.9%)
หากเปอร์เซ็นต์สูง แสดงว่ามีกลุ่มที่สามารถควบคุมราคาตลาด เช่น MOODEG, MEW
ข้อเสนอแนะ : หลีกเลี่ยงโปรเจกต์ที่ Top 10 Clusters Own เกิน 30% เพราะมีโอกาสถูกควบคุมตลาด
—
4. ความเสี่ยงจากกระเป๋าใหม่ในสัปดาห์แรก
โทเคนที่มีการซื้อขายสูงจากกระเป๋าใหม่ในสัปดาห์แรกอาจเกิดจากการสร้างกระเป๋าเพื่อกระจายโทเคนอย่างรวดเร็ว (เช่น MOODEG: 0.5096, MEW: 0.2580)
หากตัวเลขนี้ต่ำ (เช่น SPX6900: 0.0031, APU: 0.0079) แสดงว่าโทเคนไม่ได้ถูกกระจายอย่างเร่งด่วน และอาจเป็นการซื้อขายจริง
ข้อเสนอแนะ : เลือกลงทุนในโทเคนที่ % 1st Week New Wallets ต่ำกว่า 0.01 เพื่อลดโอกาสถูกปั่นราคา
—
5. ความเหมาะสมสำหรับการลงทุน
โปรเจกต์ที่น่าสนใจ:
SPX6900: การกระจายตัวดี, ความเสี่ยงต่ำ, มีนักลงทุนถือโทเคนมูลค่าสูงจำนวนมาก
APU: กระจายตัวสมดุล, Top 10 Holders Own และ Top 10 Clusters Own ต่ำ
GIGA: กระจายตัวดี, นักลงทุนมั่นใจ, ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวต่ำ
โปรเจกต์ที่ควรหลีกเลี่ยง:
MOODEG: การกระจุกตัวสูง, ความเสี่ยงจากผู้ถือรายใหญ่
MEW: กระเป๋าใหม่ในสัปดาห์แรกสูง, ควบคุมตลาดได้ง่าย
หลังจากที่วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆได้แล้วเรามาลองจัดพอร์ตการลงทุนกันดูครับ
วิธีการจัดพอร์ต
1. กำหนดเป้าหมายการลงทุน
เป้าหมายระยะสั้น: เน้นทำกำไรในระยะสั้นจากโทเคนที่มีความนิยมสูงและความผันผวนต่ำ
เป้าหมายระยะยาว: ลงทุนในโทเคนที่มีพื้นฐานดี กระจายตัวสูง และมีโอกาสเติบโตในอนาคต
—
2. จัดสรรพอร์ตตามประเภทโทเคน
.
สามารถแบ่งพอร์ตการลงทุนเป็น 3 ส่วนเพื่อบริหารความเสี่ยง:
.
2.1 โทเคนที่มีความเสี่ยงต่ำ (40-50%)
เลือกโทเคนที่มีการกระจายตัวดี เช่น SPX6900, APU, GIGA
จุดเด่น: มีการกระจายตัวของผู้ถือรายย่อยสูง ความเสี่ยงจากการถูกควบคุมต่ำ
วัตถุประสงค์: ลดความเสี่ยงและเน้นสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
ตัวอย่างการจัดสรร : SPX6900: 25% APU: 15% GIGA: 10%
—
2.2 โทเคนที่มีความเสี่ยงปานกลาง (30-40%)
เลือกโทเคนที่มีศักยภาพในการเติบโต แต่ต้องจับตามอง เช่น MINI, SIGMA, BITCOIN
จุดเด่น: นักลงทุนรายย่อยถือครองในระดับที่ดี แต่ยังมีความเสี่ยงจากผู้ถือรายใหญ่
วัตถุประสงค์: สร้างผลตอบแทนระยะสั้นถึงกลาง
ตัวอย่างการจัดสรร : MINI: 15% SIGMA: 15% BITCOIN: 10%
—
2.3 โทเคนที่มีความเสี่ยงสูง (10-20%)
เลือกโทเคนที่อาจมีโอกาสกำไรสูง แต่มีความผันผวน เช่น POP CAT, GOAT, FWOG
จุดเด่น: ความผันผวนสูง แต่มีโอกาสกำไรในกรณีที่ตลาดตอบรับดี
วัตถุประสงค์: เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูง แต่ลงทุนเพียงส่วนน้อย
ตัวอย่างการจัดสรร : POP CAT: 10% GOAT: 5% FWOG: 5%
—
3. กระจายความเสี่ยงเพิ่มเติม
กระจายเงินลงทุนในหลายโปรเจกต์: ไม่ควรลงทุนในโทเคนเพียงตัวเดียวเพื่อลดความเสี่ยง
ติดตามข้อมูลข่าวสาร: เฝ้าดูพฤติกรรมของผู้ถือรายใหญ่หรือข้อมูลเกี่ยวกับโปรเจกต์ เช่น Roadmap, การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่
—
4.ตัวอย่างพอร์ตการลงทุน
SPX6900: 25% APU: 15% GIGA: 10%
MINI: 15% SIGMA: 15% BITCOIN: 10%
POP CAT: 5% GOAT: 5%
—
5. การบริหารจัดการพอร์ต
ปรับพอร์ตทุก 1-3 เดือน: เพื่อติดตามสถานการณ์ตลาดและปรับความเสี่ยง
ตั้ง Stop Loss และ Take Profit: ป้องกันการขาดทุนและล็อกกำไร
ไม่ลงทุนเงินทั้งหมด: เก็บเงินสดไว้บางส่วนสำหรับโอกาสใหม่หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน
การลงทุนการจัดพอร์ตไม่ยากลองทำกันดูครับ